10 วิธี Speed Up Metabolism

10 วิธี Speed Up Metabolism

-------------------------------------
อยากลดน้ำหนักให้ได้ผลต้องทำ 2 สิ่งอย่างจริงจังนะจ๊ะ คือ ออกกำลังกายเผาผลาญไขมัน + ควบคุมอาหาร
แต่ถ้าเพื่อนๆอยากลดน้ำหนักให้ได้เร็วขึ้น ก็ต้องเสริมแรงด้วย การเพิ่มระดับของ Metabolism
วันนี้เลยมาบอกเล่า 10 วิธี เพิ่มระดับเมตาบอลิซึม แบบง่ายๆกันค่ะ
1. ดื่มชาเขียว 1-2 ถ้วยต่อวัน (ไม่ใส่นม ไม่ใส่น้ำตาล ค่ะ) : เพราะในชาเขียวมีสารที่เรียกว่า EGCG ที่เป็นตัวช่วยเพิ่มระดับของเมตาบอลิซึม
2. ดื่มกาแฟ (แนะนำเป็น กาแฟดำ0 แคลอรี่ ค่ะ) : เป็นที่รู้กันว่า กาแฟมีคาเฟอีน และ คาเฟอีนทำให้เมตาบอลิซึมเพิ่มขึ้นมาได้
มีทริปอันนึง คือ ให้เราดื่มกาแฟดำครึ่งถ้วย ก่อนออกกำลังกายจะช่วยให้เราเผาผลาญไขมันได้ดี (แต่เวลาเล่นก็จะหอบหน่อยนะคะ)
3. เพิ่มอาหารที่มีโปรตีน ไปในรายการอาหารแต่ละวัน : โดยปกติ โปรตีนจะย่อยช้าและยากกว่า คาร์โบไฮเดรตและไขมันค่ะ และจากการวิจัยพบว่า ร่างกายมีการใช้พลังงานที่มากกว่าเมื่อรับประทานโปรตีน
อาหารที่มีโปรตีนสูงคือ ไข่, ไก่, เนื้อ, แซลมอน, ทูน่า (เน้นปรุงโดยการต้มนะคะ เพราะจะได้ไขมันน้อยมาก)
4. กินเต้าหูขาว : จากผลการวิจัย โปรตีนที่ได้มาจากเต้าหู้ช่วยทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้เร็วกว่า และ การกินเต้าหู้จะทำให้ร่างกายรู้สึกว่าเราอิ่มแล้ว
5.ดื่มน้ำ วันละ 8 แก้ว : กระบวนการเผาผลาญในร่างกายของเราต้องการน้ำเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นการดื่มน้ำจึงช่วยเพิ่มระดับเมตาบอลิซึม และ ช่วยลดความหนืดข้นของเลือด ซึ่งทำให้เรา หาว ง่วง ได้อีกด้วยค่ะ
6. นอน : ควรจะนอนให้เต็ม 8-7 ชม การอดนอนนอกจากทำให้เราไม่สวย ยังทำให้ระดับของเมตาบอลิซึมต่ำ และมีผลทำให้ ระดับฮอโมนบางอย่างต่ำอีกด้วย
7. ให้กินอาการเช้า เสมอ (ห้ามขาด) : เพราะการรับประทานอาหารเช้าจะทำให้ร่างกายได้สารอาหาร และกระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย
8. เพิ่มรายการอาหารว่างแคลอรี่ต่ำ : จากผลการทดลอง พบว่า คนที่รับประทานอาหารว่างแคลแรี่ต่ำ 250 แคลอรี่ 3 วันต่อครั้ง มีระดับเมตาบอลิซึมที่สูงมากกว่า คนที่ดื่มเครื่องดื่ม 0 แคลอรี่
9. เล่น Weight : เพราะการเล่น Weight จะไปช่วยกระตุ้นฮอร์โมนของเรา และเจ้าฮอร์โมนนี้ก็มีผลทำให้ระดับเผาผลาญเพิ่มขึ้น และช่วยสร้างกระดูกสำหรับผู้หญิง
10. speed up cardio : คือการออกกำลังกายแบบเร็วๆ ให้ร่างกายเหนื่อยสุดๆ หรือ การ Sprint เป็นเวลา 1-2 นาที จะทำให้ heart rate เราเต้นถึงเป้า และช่วยให้เราเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น
การวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือ ว่ายน้ำ แบบเร็ว สลับ ช้า จะทำให้เราฟิตกว่าเดิมขึ้นเยอะเลย
หากเพื่อนๆลองทำตามวิธีเพิ่มระดับเมตาบอลิซึมนี้ มั่นใจได้ว่า จะต้องลดน้ำหนักลดลง อย่างรวดเร็วแน่นอนค่ะ ^^

ท้องว่าง อย่าหม่ำ

ท้องว่าง อย่าหม่ำ
หลายคนมักทำงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆเพลินจนลืมมื้ออาหารหลัก แต่เมื่อหิวจนตาลายมือสั่น เจออะไรเป็นต้องหยิบใส่ปากไปหมด คุณรู้หรือไม่ยามท้องว่าง มีอาหารบางอย่างที่ต้องห้าม หากขืนทานเข้าไปอาจได้โรคเพิ่มมาได้ มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ห้ามทานยามท้องว่าง
1. นมและนมถั่วเหลือง เวลาหิวนึกอะไรไม่ออกหลายคนมักนึกถึงนม อาจเพราะความสะดวกในการรับประทานหรือประหยัดเวลา แต่แท้ที่จริงการดื่มนมและนมถั่วหลือง จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่ ดังนั้นการเลือกรับประทานนมตอนท้องว่าง จะทำให้คุณท้องอืด
2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน หากท้องว่างแล้วเลือกดื่มน้ำหวาน หรือของหวานเช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต จะทำให้โปรตีน รวมตัวกับน้ำตาล ซึ่งส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไตได้
3. ผัก การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด
4. กล้วย หากทานกล้วยในช่วงท้องว่างจะทำให้ท้องอืด ยังจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมซึ่งเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ อันเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก
5. ชาแก่ การจิบชาร้อน โดยเฉพาะชาแก่ช่วงท้องว่างนั้นจะทำให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง
6. ลูกพลับ เพราะลูกพลับจะเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
7. เหล้า กระเทียม เป็นสิ่งสุดท้ายที่ไม่ควรรับประทานในขณะท้องว่าง เพราะทั้งสองสิ่งนี้จะมีส่วนเพิ่มแรงกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
ที่สำคัญยามท้องว่างไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิดอาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำมาก ทางที่ดีควรทานอาหารให้ครบทุกมื้อ อย่าทำงานเพลินจนปล่อยให้ท้องว่างดีกว่านะจ้ะ

10 วิธีง่าย มาเพิ่ม เมตาบอลิซึ่มในร่างกายกันเถอะ

10 วิธีง่าย มาเพิ่ม เมตาบอลิซึ่มในร่างกายกันเถอะ


 การเพิ่มเมตาบอลิซึ่ม ทำให้มีการเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายใช้พลังงาน
จากอาหารหรืออาหารเสริมที่ทานเข้าไปด้วย ทำให้เราอยากดื่มน้ำเพิ่มขึ้น และน้ำที่คุณดื่ม
ยังช่วยสนับสนุนการขับพิษ การขับถ่ายและการย่อยอาหารในร่างกายอีกด้วย มีด้วยกันหลายวิธี
แต่เราจะแนะนำวิธีที่ได้ผล แล้ว สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน
1. เสริมสร้างกล้ามเนื้อ  ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานมาก เช่น การยกดัมเบลล์อย่างน้อย
อาทิตย์ละ  2 ครั้ง จะช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่ม ซึ่งจะไม่เพิ่มทันทีแต่จะถัดไปจากนั้นอีกสัก 2-3 ชม.
2. ขยับตัว การเผาผลาญแคลอรี่ให้เร็วที่สุด ก็ต้องออกกำลังกาย เดินหรือวิ่ง มากกว่า 30 นาทีขึ้นไป
เต้นแอโรบิกอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ออกกำลังกายแบบไหนก็ได้ที่ทำให้หัวใจเต้นแรงเต็มที่ 120 ครั้งต่อนาที
3. กินบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้ร่างกายคุณขาดสารอาหาร กล้ามเนื้อจะล้า เปลี่ยนจากอดอาหารเป็นกินมื้อเล็กๆ
วันละ 3-4 มื้อแทนดีไหม
4. งดน้ำตาล  น้ำตาลนี่แหละตัวดีเลย ถ้าคุณกินเข้าไป ร่างกายใช้ไม่หมด จะแปรสภาพเป็นไขมัน แล้วก้อจะ
ไปสะสมอยู่ในร่างกายนั่นเอง
5. กินอาหารเช้า เรื่องจริงเลย คนที่กินอาหารเช้าที่มีประโยชน์ หุ่นจะดีกว่า คนที่อดข้าวเช้า
และอาหารเช้ายังทำให้ระดับ เมตาบอลิซึ่มของคุณวันนั้นมากขึ้นเป็น 2 เท่า เพราะฉะนั้นอย่าช้า ใครที่ไม่กินอาหารเช้า
อยู่ หันมาสนใจกินอาหารเช้ากันเถอะ
6. กินอาหารเผ็ดร้อน ช่วยเร่งการเผาผลาญพนักงานในร่างกายของคุณให้เร็วขึ้นไปอีก
7. ดื่มชาเขียว เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเร่งเมตาบอลิซึ่มได้ดี แต่ชาเขียวที่มีประโยชน์คือแบบซองชงใส่น้ำนะ ไม่ใช่แบบชาเขียวพร้อมดื่มใส่น้ำตาล
8. ดื่มน้ำเยอะๆ  น้ำจ้า น้ำจะช่วยขับสารพิษ หลังจากที่ร่างกายเผาผลาญพลังงานแล้ว น้ำเย็น ยังช่วยกระตุ้นให้เมตาบอลิซึ่มทำงานได้ดีขึ้นนิดนึง
9. ความเครียด อย่าเครียดจ๊ะ เพราะถ้าเราเครียดเราจะอ้วนชึ้น ฮอโมนคาร์ติโซนจะไปทำให้อัตราดูดซึมของเมตาบอลิซึ่มช้าลง
10. นอนหลับ  เมตาบอลิซึ่ม จะทำงานได้ดีตอนที่เราหลับสนิท
 10 วิธี ง่ายๆ แต่เชื่อว่าทุกคนทำได้ มาทำกันนะคะ เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง

การลดน้ำหนักแบบนับแคลอรี่

การลดน้ำหนักแบบนับแคลอรี่
การลดน้ำหนักนั้นมีวิธีการต่างๆมากมาย และบางคนก็มีวิธีที่เฉพาะตัว บางคนก็ออกกำลังกายเป็นบ้าเป็นหลัง บางคนก็อดอาหารแบบไม่คิดชีวิต บางคนก็ใส่เต็มมันทั้งออกกำลังกายและอดอาหาร ซึ่งการลดน้ำหนักอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลมานักต่อนักแล้วนั่นก็คือการลดน้ำหนักโดยใช้วิธี “นับแคลอรี่” นั่นเอง

อาหารหรือเครื่องดื่มทุกชนิดนั้นล้วนมีแคลอรี่อยู่ในตัว ซึ่งต่างชนิดก็ต่างปริมาณกันไปอยู่ที่คุณจะเลือกมากิน โดยการลดน้ำหนักด้วยวิธีนับแคลอรี่นั้นก็จะใช้ตัวเลขเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์นั่นเอง โดยปกติแล้วคนเรานั้นต้องการวันละไม่เกิน 2,000 แคลอรี่เป็นอย่างต่ำ แต่นั่นคือการรักษาน้ำหนักให้ไม่อ้วนไปกว่าเดิม มันจึงไม่ใช่ตัวเลขที่คนลดน้ำหนักนั้นต้องการ ตัวเลขจริงๆนั้นคุณอาจจะคำนวณได้จาก คำนวณแคลอรี่ หรือคุณอาจจะตั้งเป้าไว้เองก็ได้ว่าต้องการจะลดแคลอรี่ต่อวันไปเหลือเท่าไร ยิ่งแคลอรี่น้อยเท่าไรยิ่งส่งผลต่อน้ำหนักที่ลดลงไปเท่านั้น

หลายๆคนอาจจะมาติดแหงกอยู่ที่ข้อนี้ นั่นคือการนับแคลอรี่ของอาหารที่กินไปนั่นเอง การจะนับแคลอรี่นั้นคุณต้องจริงตังกับมันพอสมควร เพราะมันหมายถึงปริมาณน้ำหนักที่ลดและเวลาที่เสียไป ซึ่งหากคุณกำลังจะเริ่มนับแคลอรี่แล้วแต่ยังไม่รู้ว่าอาหารต่างๆนี่มันมีแคลอรี่เท่าไรกัน ก็ลองเข้าไปที่เว็บเหล่านี้แล้วพิมพ์อาหารที่ต้องการรู้แคลอรี่ลงไป รับรองว่ามีหมดแน่ บางเว็บก็บอกถึงสารอาหารอื่นๆอีกด้วยนะ แต่แค่ต้องพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษแล้วก็อาหารที่พิมพ์ไปต้องอยู่ในรูปของวัตถุดิบไม่ใช่เป็นชื่ออาหารก็พอ อย่างเช่น broccoli(บร็อคโคลี), apple(แอปเปิ้ล), onion(หัวหอม) เป็นต้น จริงๆแล้วบางเว็บสามารถใส่เป็นชื่ออาหารได้เลย แต่ติดอยู่ที่ว่ามันไม่มีพวกกระเพราหมู ข้าวหมูทอด ผัดซีอิ๊ว อะไรพวกนี้เพราะมันเป็นเว็บไซต์ของฝรั่งนั่นเอง เอาล่ะๆอย่าไปเสียดายเลย มาดูรายชื่อเว็บไซต์กันดีกว่า

caloriecount.about.com – มีบอกทั้งแคลอรี่ เกรดของอาหาร และสารอาหารอื่นๆที่มีในอาหารนั้นๆด้วย
acaloriecounter.com – บอกแคลอรี่และสารอาหารอื่นๆ รูปแบบสวยงามใช้ง่าย
calorieking.com/foods – บอกแคลอรี่ สารอาหารอื่นๆ และวิธีเผาผลาญแคลอรี่ในอาหารนั้นๆให้หมดไปด้วย
thecaloriecounter.com – บอกแคลอรี่ และมีการจัดอาหารให้เป็นหมวดหมู่
sparkpeople.com/calorie-counter.asp – มีบอกแคลอรี่และสารอาหารอย่างละเอียดถี่ยิบมาก
twofoods.com – ใช้เปรียบเทียบอาหารว่าอย่างไหนจะให้แคลอรี่มากกว่ากัน
6 เว็บไชต์นี้ก็น่าจะครอบคลุมอาหารทุกชนิดแล้วล่ะ แค่คุณต้องเลือกคำนวณดีๆและอย่าเข้าข้างตัวเองโดยการปัดเลขลงหมด เพราะมันจะไม่มีประโยชน์เลย

คราวนี้ก็มาถึงการนับถอยหลังที่จะผอมกันแล้ว ในวันแรกๆของการลดน้ำหนักนั้น รับรองว่าคุณจะค่อนข้างทรมานมากเลยทีเดียว เพราะคุณจะหิวอย่างรุนแรงและพยายามหาอะไรกินตลอดเวลา ซึ่งคุณอาจจะบ่นว่ามึนหัว ไม่มีแรง ตาลาย ต่างๆนาๆ มากมาย แต่ไอคำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นข้ออ้างทั้งสิ้น ร่างกายคุณในตอนนี้นั้นมีไขมันและอาหารสะสมมากพอที่จะไม่กินอะไรติดต่อกันเป็นวันๆได้ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะล้มเลิกการลดน้ำหนักเลย ดื่มน้ำเข้าไป อดทนเข้าไว้และพอผ่านไปประมาณ 3-4 วันร่างกายจะเริ่มปรับตัวได้และคุณจะรู้สึกดีขึ้นอีก สำหรับคนที่ไม่ไหวจริงๆ ถ้าจะกินก็ข้อให้เป็นพวกผลไม้แทนแล้วกัน

          การลดน้ำหนักนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา มันไม่มีทางสำเร็จภายในระยะเวลาเพียงสัปดาห์เดียวหรือเดือนเดียว อย่างน้อยๆก็ 3เดือนขึ้นไป คุณถึงจะเห็นผลได้ชัดเจน ซึ่งระหว่างนี้ถ้าอยากได้กำลังใจก็ลองชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้งดูก็ได้ เพราะถ้าคุณทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ทุกวัน ในหนึ่งสัปดาห์นั้นต้องน้ำหนักลดลงอย่างแน่นอน น้ำหนักที่ลดลงนี่แหละจะเป็นกำลังใจให้คุณทำต่อและไม่ยอมแพ้ สุดท้ายก็ขอให้เหล่าคนที่กำลังลดน้ำหนักทุกคนนั้นอดทน อดทน อดทน อดทน อย่างเดียว มันเป็นแค่ช่วงสั้นๆช่วงหนึ่งของชีวิตเท่านั้น สู้ตาย!!!ค่ะ

วิธีการลดน้ำหนักให้ได้ผลวิธีหนึ่งคือการควบคุมอาหาร(ไม่ใช่อดอาหารนะคะ) บวกกับการ
ออกกำลังกาย โดยการรับเข้า(คือการกิน)จะต้องน้อยกว่าการส่งออก(คือการออกกำลังกาย)

   ใน 1 วันนั้นคนเราจะรับประทานอาหารวันละ 2200 กิโลแคลอรี่ โดยที่น้ำหนักตัวของคนเรานั้น
1 กิโลกรัม จะคิดเป็น 7700 กิโลแคลอรี่ สมมุติว่าถ้าเราจะลดนำหนักสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัมหรือ 7700
กิโลแคลอรี่แล้ว ใน 1 วัน เราควรจะรับประทานอาหารลดลง 1100 กิโลแคลอรี่ (7 วันจะลดได้ 7700
กิโลแคลอรี่)เพราะฉะนั้นใน 1 วัน ควรจะรับประทานอาหาร 2200-1100 = 1100 กิโลแคลอรี่
BMR (Basal Metabolism Rate)
BMR คือ ค่าพลังงานที่ร่างกายต้องการขณะพัก หรือ ขณะที่ไม่ได้มีกิจกรรมใดใด
มีสูตรคำนวณ ดังนี้
BMR (kcal) = น้ำหนัก(กิโลกรัม) x 0.9 x 24
เมื่อหาค่า BMR ได้แล้ว งั้น มาต่อกันเลยค่ะ สมมติว่าได้ค่า BMR มาแล้ว คือ 1100 kcal. เราจะต้องบวกเพิ่มอีก

ประมาณ 300-400 kcal. เพราะ เรายังต้องมีกิจกรรมระหว่างวันอีก เช่น เดิน วิ่ง ขึ้นบันได เป็นต้น

สรุปว่าเราต้องการพลังงานทั้งหมดต่อวันคือ 1500 kcal. ดังนั้นอาหารที่เราต้องได้รับต่อวันต้องมี พลังงาน

หรือ แคลอรี่ 1500 ห้ามเกิน เพราะส่วนเกิน จะถูกสะสมในรูปของไขมันงัยหล่ะ

เอาหล่ะ มาเป็นนักโภชนาการมือสมัครเล่นกันได้แล้ว โดยเริ่มจาก การเลือกเมนูอาหารกันล่วงหน้าเลยนะคะ

ว่าวันพรุ่งนี้เราจะกิน อะไรกันดี ทั้งมื้อเช้า มื้อเที่ยง และมื้อเย็นจากการวิจัยพบว่า หากเราสามารถควบคุมแคลอรี่

ให้น้อยกว่าที่ร่างกายต้องการต่อวันลง 500 แคลอรี่เราจะสามารถ ลดน้ำหนักได้อาทิตย์ละ 0.5 กก.

รู้กันแล้วก็รีบบริหารแคลอรี่กันได้เลยนะคะ

วิธีคำนวณการเผาผลาญพลังงาน Basal Metabolic Rate (BMR)

วิธีคำนวณการเผาผลาญพลังงาน Basal Metabolic Rate (BMR)

สูตรคำนวณอัตราการเผาผลาญของร่างกายในชีวิตประจำวันคือ
  • สำหรับผู้ชาย : BMR = 66 + (13.7 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (5 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (6.8 x อายุ)
  • สำหรับผู้หญิง : BMR = 665 + (9.6 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (1.8 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (4.7 x อายุ)
จะสังเกตได้ว่าน้ำหนัก ส่วนสูงและอายุมีผลต่อการเผาผลาญพลังงาน เมื่อหาค่า BMR (Basal Metabolic Rate) มาแล้วเราก็จะสามารถรู้ได้ว่าเรามีการการเผาผลาญพลังงานโดยไม่ทำกิจกรรมอะไรเลยเท่าไร แต่หากเรามีกิจกรรมอย่างออกกำลังกายจะมีการเผาผลาญพลังงานโดยคำนวณได้ดังนี้
"การเผาผลาญพลังงานโดยปกติ = BMR x ตัวแปร"
โดยตัวแปรของเราจะขึ้นอยู่กับการออกกำลังของเราดังนี้
  • นั่งทำงานอยู่กับที่ และไม่ได้ออกกำลังกายเลย = BMR x 1.2
  • ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเล็กน้อย ประมาณอาทิตย์ละ 1-3 วัน = BMR x 1.375
  • ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาปานกลาง ประมาณอาทิตย์ละ 3-5 วัน = BMR x 1.55
  • ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนัก ประมาณอาทิตย์ละ 6-7 วัน = BMR x 1.725
  • ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนักทุกวันเช้าเย็น = BMR x 1.9

รู้จัก สูตร ลดความอ้วน

รู้จัก สูตร ลดความอ้วน
ก่อนที่เราจะลดน้ำหนัก เรามารู้จักสูตรในการลดความอ้วนกันก่อนดีไหม

พลังงานที่ถูกเผาผลาญออกไป = พลังงานที่กินเข้าไป - พลังงานที่ใช้ในชีวิตประจำวัน - พลังงานที่เสียไปจากการออกกำลังกาย

ผลจากการคำนวณจะต้องออกมาเป็นลบ  จะทำให้คุณรู้สึกผอม หุ่นดี เพราะร่างกายจะดึงพลังงานที่เก็บสะสมในร่างกายออกมาใช้ (ไขมัน) การที่เรานำไขมันออกมาใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราทำเป็นประจำทุกวันจะทำให้คุณเห็นผลลัพท์ได้ไม่เกิน 7 วัน  น้ำหนักของคุณจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน

บอกกล่าว ชี้แจง แนะนำ

บอกกล่าว ชี้แจง แนะนำ
บล๊อคนี้ จะเป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก ซึ่ง ตัว แอดมินก็มีปัญหาทางด้านนี้มาก จึงหาข้อมูลด้านนี้มานำเสนอกัน เพื่อประโยชน์ของเพื่อนทุกคน